โดยปกติการขายทองคำประเภททองรูปพรรณหรือมิใช่ทองรูปพรรณ หรือการนำเข้าทองคำ จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามปกติ กล่าวคือ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มขายทองคำ ก็จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ หรือกรณีเป็นผู้นำเข้าทองคำ ก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยกรมศุลกากรเป็นผู้จัดเก็บ กฎหมายได้มียกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือมีการใช้ฐานภาษีที่นำมาคำนวณภาษีขายเมื่อขายทองคำแตกต่างไปบ้าง ดังนี้ ทองคำที่มิใช่ทองรูปพรรณ ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่มีความประสงค์จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าหรือการขาย ทองคำที่ยังมิได้ประกอบขึ้นเป็นทองรูปพรรณหรือของรูปพรรณ ทองคำจะต้องมีน้ำหนักเนื้อทองไม่น้อยกว่าร้อยละ 96.50 กรณีเป็น ผู้นำเข้าทองคำ จะต้องแสดงเอกสารหรือหลักฐาน เกี่ยวกับการนำเข้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ในเวลายื่นใบขนสินค้า เพื่อผ่านพิธีการศุลกากร และจะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานจากผู้ขายในต่างประเทศว่า ผู้นำเข้าเป็นผู้ซื้อทองคำดังกล่าวจากผู้ขายใน ต่างประเทศ กรณีเป็น ผู้ขายทองคำ จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงการเป็นสมาชิกของสมาคมที่เกี่ยวข้องกับ การค้าทองคำหรืออัญมณี สมาคมใดสมาคมหนึ่ง ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 311 ทอง รูปพรรณ เช่น สร้อยคอ แหวน ฯลฯ หากส่งออกก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 0 แต่ถ้าขายในประเทศ โดยปกติจะใช้ราคาขายมาคิดคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7 แต่เนื่องจากมีร้านทองที่จำหน่ายทองคำโดยรับซื้อและขายกับบุคคลทั่วไป ขณะที่ซื้อจากคนทั่วไปที่นำทองคำมาขายหรือมาแลกเปลี่ยน ก็จะไม่มีใบกำกับภาษีซื้อ แต่เมื่อร้านทองขายออกไปก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กฎหมายจึงได้กำหนดให้มูลค่าของทองรูปพรรณที่สมาคมค้าทองคำประกาศรับซื้อคืน ในวันที่ขายทองรูปพรรณ ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าฐานภาษี (ประกาศอธิบดีภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่…