ประเด็นการนำผลขาดทุนของประเภทเงินได้หนึ่งไปหักกลบกับเงินได้พึงประเมินอีกประเภทเงินได้หนึ่ง นั้น ผมเคยได้อ่านตำราของท่านศาตราจารย์ไพจิตร โรจนวนิช เล่มเก่าๆ นานมากแล้ว ได้ความว่าเป็นแนวทางวินิจฉัยของกรมสรรพากรที่ไม่อนุญาตให้ผู้มีเงินได้่ที่ประกอบกิจการหลายประเภทเงินได้ หรือประเภทที่ 8 ด้วยกันแต่มีหลายรายการเงินได้ซึ่งกำหนดให้เลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรก็ได้ว่า หากเลือกหักค่าใข้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรหรือค่าใช้จ่ายจริงแล้วเกิดเป็นผลขาดทุนในบางประเภทเงินได้จะนำผลขาดทุนนั้นไปหักกลบกับเงินได้ประเภทอื่นไม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากกรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล ครั้นพอได้อ่านฉบับปัจจุบันไม่พบปัญหาดังกล่าวแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนต้วผมยังคงเห็นได้กับแนวความคิดข้างต้นดังนี้ 1. กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำแนกประเภทเงินได้ออกเป็น 8 ประเภทตามมาตรา 40 (1) – (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งในบางประเภทเงินได้พึงประเมิน เช่น เงินได้ตามมาตรา 40 (5)(ก) หรือ (6) และโดยเฉพาะ (8) แห่งประมวลรัษฎากร มีรายการเงินได้ที่กำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาแตกต่างกันไปหลายการ ซึ่งในแต่ละรายการเงินได้พึงประเมินหรือเงินได้พึงประเมินประเภทเดียวกันนั้น ผู้มีเงินได้มีสิทธิที่จะเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาหรือจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรหรือค่าใช้จ่ายจริงอย่างไรก็ได้ 2. การจำแนกประเภทเงินได้ก็ด้วยมุ่งหวังที่จะแยกคำนวณภาษีเงินได้ตามหลักความสามารถเป็นรายประเภทเงินได้ 3. ตามเจตนารมณ์ของการกำหนดให้เลือกหักค่าใช้จ่ายก็เพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรมในการเสียภาษี เนื่องจากไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้มีเงินได้ต้องจัดทำบัญชีและเก็บรักษาเอกสารหลักฐาน ซึ่งต่างจากการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น นอกจากต้องจัดทำบัญชีและเก็บรักษาเอกสารหลักฐานตามมาตรฐานการบัญชีหรือหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปแล้ว มิได้มีการจำแนกประเภทรายได้ออกเป็นประเภทโดยละเอียดตามที่มาหรือบ่อเกิดของเงินได้ดังเช่นกรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เว้นแต่จำแนกตามลักษณะกว้างๆ คือ รายได้จากกิจการและรายได้เนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีเท่านั้น 4. การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามุ่งที่จะจัดเก็บภาษีเงินได้เป็นรายปีภาษี ให้จบสิ้นไปในแต่ละปีภาษี จึงกำหนดให้มีการเปรียบเทียบจำนวนเงินภาษีที่คำนวณได้จากวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้สุทธิ (ตามหลักความสามารถ) และการคำนวณจากเงินได้พึงประเมิน (ตามหลักความมั่งคั่ง)…
Author: admin
การนับอายุงานต่อเนื่อง กรณีโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปพร้อมพนักงาน
ปกติแล้วการนับอายุงานต่อเนื่องกรมสรรพากรให้นับได้เฉพาะที่ทำงานสุดท้ายเท่านั้น แต่จากข้อหารือนี้ (ปี 2555) จะพบว่า การใช้สิทธิแยกยื่นเพื่อเสียภาษีสำหรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนับอายุงานต่อเนื่องได้ ให้นับอายุงานในบริษัทผู้โอนกับบริษัทผู้รับโอน (กรณีไม่มีการโอนเงินกองทุนจะไม่สามารถนับอายุงานต่อเนื่องได้) เลขที่หนังสือ : กค 0702/8892 วันที่ : 5 ตุลาคม 2555 เรื่อง : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการนับอายุงานสำหรับการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ข้อกฎหมาย : มาตรา 40(1) (2) มาตรา 48(5) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อหารือ 1. บริษัท เอ. (นายจ้าง) ซึ่งเป็นนายจ้างของกองทุนฯ มีข้อตกลงเกี่ยวกับการรับพนักงานชาวต่างชาติที่โอนมาจากบริษัทแม่ในต่างประเทศเข้ามาเป็นพนักงานของนายจ้าง โดยให้นับอายุงานที่พนักงานปฏิบัติงานมากับบริษัทแม่ในต่างประเทศต่อเนื่องกับอายุงานที่ทำกับนายจ้างเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากนายจ้างเสมือนพนักงานทั่วไป รวมถึงสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย แต่ไม่ได้โอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในต่างประเทศมายังกองทุนในประเทศไทย เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(สำนักงาน ก.ล.ต.) ในฐานะนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตีความว่า เงินที่จะโอนเข้ามายังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้นั้นต้องเป็นเงินที่โอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเท่านั้นต่อมาพนักงานชาวต่างชาติดังกล่าวได้ลาออกจากงานหรือกลับไปปฏิบัติงานที่บริษัทแม่ในต่างประเทศโดยมีระยะเวลาปฏิบัติงานกับบริษัทนายจ้างในต่างประเทศเป็นเวลา 4 ปี และมีระยะเวลาปฏิบัติงานกับนายจ้างในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี รวมระยะเวลาปฏิบัติงานกับนายจ้างทั้งสองแห่งต่อเนื่องกันเป็นเวลา…
เงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน กรณีจ่ายไม่พร้อมกัน (0702/9608)
เงินชดเชยที่จ่ายให้เพราะเหตุออกจากงานกรณีเลิกจ้าง (ให้ออก) เงินชดเชยที่จ่ายทุกประเภท เช่น เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน เงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยง เงินชดเชยอื่นๆ ฯลฯ การคำนวณภาษีโดยใช้สิทธิแยกยื่นจากเงินเดือน ให้ใช้ได้ครั้งเดียวเฉพาะครั้งแรกที่มีการจ่ายเท่านั้น ในข้อหารือจะพบว่ามีการจ่ายเงินชดเชยไม่พร้อมกัน จ่ายคนละปี ในปีถัดมาจึงไม่สามารถใช้สิทธิแยกยื่นได้ เลขที่หนังสือ : กค 0702/9608 วันที่ : 26 ตุลาคม 2555 เรื่อง : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ข้อกฎหมาย : มาตรา 48(5) มาตรา 40(1) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อหารือ กรณีเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้รับในปีภาษีถัดไป โดยสรุปข้อเท็จจริงได้ดังนี้ 1. นาง จ. ออกจากงานในวันที่ 15 ธันวาคม 2553 โดยได้รับเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน 2 ประเภท คือ 1.1 เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จำนวนเงิน 1,449,497…
การนับอายุการทำงานต่อเนื่อง กรณีได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (0702/8514)
จากข้อหารือในปีก่อน หรือแม้แต่ศูนย์บริการข้อมูลกรมสรรพากร (RD Call Center) ได้เคยตอบเรื่องการนับการทำงานต่อเนื่องว่า ไม่สามารถทำได้ ให้นับได้เฉพาะอายุการทำงานที่ทำงานสุดท้ายเท่านั้น แต่จากข้อหารือนี้พบว่า กรณีย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปยังที่ทำงานใหม่ สามารถนับอายุการทำงานต่อจากที่เดิมได้ (เดิมให้นับอายุสมาชิกกองทุนต่อเนื่องได้เท่านั้นไม่รวมถึงอายุการทำงาน) เลขที่หนังสือ : กค 0702/8514 วันที่ : 26 กันยายน 2555 เรื่อง : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้ที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อกฎหมาย : มาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อหารือ ๑. นางสาว บ.ทำงานที่ธนาคาร ป. ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๗ และลาออก จากงานเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ รวมระยะเวลาทำงาน ๒ ปี ๑๙ วัน ต่อมานางสาว บ. เข้าทำงานที่ธนาคาร ล. เมื่อวันที่…
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการจัดสวัสดิการค่าอาหาร (0702/3552)
การจัดสวัสดิการค่าอาหารโดยจ่ายเป็นเงินให้กับพนักงาน ถือเป็นประโยชน์เพิ่มจากการจ้างแรงงาน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) เลขที่หนังสือ : กค 0702/3552 วันที่ : 8 พฤษภาคม 2555 เรื่อง : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการจัดสวัสดิการค่าอาหาร ข้อกฎหมาย : มาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อหารือ สหกรณ์ จัดสวัสดิการค่าอาหารให้แก่ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และพนักงาน โดยจ่ายให้เป็นประจำพร้อมกับ การจ่ายเงินเดือน และจ่ายเฉพาะวันมาปฏิบัติงาน กรณีการจัดสวัสดิการค่าอาหารดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ แนววินิจฉัย การจัดสวัสดิการค่าอาหารดังกล่าว เป็นประโยชน์โดยตรงของพนักงานที่ไม่ต้องเสียเงินค่าอาหาร ถือเป็นประโยชน์ เพิ่มจากการจ้างแรงงาน ต้องนำไปรวมกับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา เลขตู้ : 75/38127