คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 96/2543
เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำผู้มีเงินได้และผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ไม่รวมถึงเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้ปฏิบัติดังนี้
(1) ให้คำนวณหาจำนวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี โดยให้นำเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) ดังนี้
(ก) กรณีจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนให้คูณด้วย 12
(ข) กรณีจ่ายค่าจ้างเดือนละ 2 ครั้งให้คูณด้วย 24
(ค) กรณีจ่ายค่าจ้างเป็นรายสัปดาห์ให้คูณด้วย 52
การจ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเข้าทำงานระหว่างปี ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวในปีที่เข้าทำงานด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายจริงสำหรับปีนั้น เช่น เข้าทำงานวันที่ 1 เมษายน และกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน จำนวนคราวที่จะต้องจ่ายสำหรับปีที่เข้าทำงานจะเท่ากับ 9
(2) ให้นำจำนวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีตาม (1) มาคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ นำมาหักค่าใช้จ่ายค่าลดหย่อน และคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น
การคำนวณหักค่าลดหย่อน ให้คำนวณตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งไว้พร้อมกับแนบสำเนาหลักฐานแสดงสิทธิในค่าลดหย่อนตามแบบ ล.ย.01(แบบแจ้งรายการเพื่อการหักลดหย่อน) ทั้งนี้ ให้คำนวณหักค่าลดหย่อนได้ตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่เริ่มหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ว่าจะจ่ายค่าลดหย่อนนั้นในเดือนใดของปีก็ตาม เว้นแต่ค่าลดหย่อนเงินบริจาคให้คำนวณหักได้เมื่อมีการจ่ายเงินบริจาคจริงเท่านั้น
กรณีผู้มีเงินได้ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงรายการค่าลดหย่อนระหว่างปี ให้คำนวณหักค่าลดหย่อนตามที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงนั้น
(3) ให้นำจำนวนเงินภาษีทั้งสิ้นที่คำนวณได้ตาม (2) มาหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) ตาม (1) ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษี ณ ที่จ่าย ในแต่ละคราวที่จ่ายเงินนั้น
ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวไม่ลงตัวเหลือเศษเท่าใด ให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่ากับจำนวนภาษีที่ต้องเสียทั้งปี
(4) กรณีมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินได้พึงประเมินที่จ่ายระหว่างปี ให้คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายใหม่ทุกคราว ตามวิธีการตาม (1) – (3)
(5) กรณีมีการจ่ายเงินพิเศษเป็นครั้งคราวระหว่างปี เช่น ค่าล่วงเวลา เงินโบนัส ให้นำเงินพิเศษนั้นคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) เพื่อหาจำนวนเงินพิเศษเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี และให้นำมารวมเข้ากับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามปกติที่คำนวณได้เสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีใหม่ตามที่กล่าวตาม (2) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้นำภาษีที่คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามปกติทั้งปี (ก่อนจ่ายเงินพิเศษ) หักออกได้ผลลัพธ์เป็นเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินเพิ่มพิเศษซึ่งจ่ายเป็นครั้งคราวนั้น แล้วให้นำมารวมกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินที่จ่ายตามปกติในคราวนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเงินภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายทั้งสิ้นในคราวที่มีการจ่ายเงินพิเศษนั้น
(6) กรณีมีการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่ไม่สามารถคำนวณหาจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) ให้คำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีนำส่งไว้เท่านั้น หากคำนวณแล้วไม่มีเงินภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหัก ในปีเดียวกันนี้ถ้ามีการจ่ายเงินได้พึงประเมินให้ผู้รับรายเดียวกันนี้อีก ให้นำเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในครั้งแรกมารวมกับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในครั้งที่สอง แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกับการคำนวณครั้งแรก หากคำนวณแล้วไม่มีภาษีที่ต้องเสียก็ไม่ต้องหัก ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้นำเงินภาษีที่หักและนำส่งไว้แล้ว (ถ้ามี) มาเครดิตออก เหลือเท่าใดจึงหักเป็นเงินภาษีและนำส่งไว้เท่านั้น ถ้ามีการจ่ายเงินได้พึงประเมินในครั้งที่สามและครั้งต่อ ๆ ไป ก็ให้คำนวณตามวิธีดังกล่าวนี้ทุกครั้งไป
(7) กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีแทนให้ลูกจ้างสำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้าง ที่ลูกจ้างได้รับในปีใด โดยลูกจ้างไม่ต้องรับภาระในการเสียภาษีด้วยตนเองเลย ให้นำเงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนให้ไปรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีนั้น แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร จนกว่าจะไม่มีเงินค่าภาษีที่นายจ้างต้องออกแทนให้อีก
(8) กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีแทนให้ลูกจ้าง สำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้างเป็นจำนวนที่แน่นอน เช่น เท่ากับจำนวนภาษีที่จะต้องชำระ ให้นำเงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนให้ไปรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีนั้น แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (1)แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ 2 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเงินภาษีที่จะต้องหักไว้เป็นครั้งสุดท้ายในปีนั้น ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินมีสิทธิที่จะคำนวณภาษีเพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักเมื่อรวมแล้วเท่ากับจำนวนภาษีที่ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีทั้งสิ้น โดยนำจำนวนภาษีที่ได้หักและนำส่งไว้แล้วมาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียทั้งสิ้น ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักและนำส่งไว้เท่านั้น เช่น
นาย ก. มีเงินได้พึงประเมินที่จะต้องเสียภาษีทั้งปีจำนวน 20,140 บาท ซึ่งจะต้องถูกหักภาษีไว้เดือนละ 1,678.33 บาท ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินได้หักภาษี (คำนวณตามข้อ 1) และนำส่งไว้เดือนละ 928.33 บาท เป็นเวลา 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) และเดือนละ 4,315 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) รวมเป็นเงินภาษีที่หักและนำส่งไว้แล้ว = (928.33 X 9) + (4,315 X 2) = 16,984.97 บาท เหลือภาษีที่จะต้องหักและนำส่งในเดือนธันวาคม = 20,140 – 16,984.97 = 3,155.03 บาท
ข้อ 3 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในเดือนสุดท้ายที่ผู้มีเงินได้ออกจากงานระหว่างปี ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินมีสิทธิที่จะคำนวณภาษี เพื่อให้เงินภาษีที่หักไว้ถูกต้องครบถ้วนตามรายการค่าลดหย่อนที่แท้จริงตามหลักฐานที่ผู้มีเงินได้นำมาแสดงโดยนำเงินภาษีที่หักไว้ไม่ครบถ้วนหรือเกินในเดือนก่อน ๆ มารวมหรือหักกับภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายไว้ครั้งสุดท้ายนั้นได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักและนำส่งไว้เท่านั้น เช่น
นาย ก. ถูกหักภาษีไว้เดือนละ 928.33 บาท (ตามรายการค่าลดหย่อนที่ได้แจ้งไว้ต่อผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน) เป็นเวลา 5 เดือน นาย ก. ลาออกจากงานในเดือนต่อมา เมื่อผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินคำนวณภาษี ตามรายการค่าลดหย่อนที่แท้จริงในเดือนสุดท้ายที่ออกจากงาน ได้ผลลัพธ์เป็นเงินภาษีที่ต้องหักเดือนละ 1,008.33 บาท ภาษีที่หักไว้ไม่ครบ = (1,008.33 – 928.33) X 5 = 400 จึงต้องหักภาษีและนำส่งในเดือนสุดท้ายนั้น = 1,008.33 + 400 = 1,408.33 บาท (กรณีถูกหักภาษีในแต่ละเดือนไว้ขาด) นาย ก. ถูกหักภาษีไว้เดือนละ 928.33 บาท (ตามรายการค่าลดหย่อนที่ได้แจ้งไว้ต่อผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน) เป็นเวลา 5 เดือน นาย ก. ลาออกจากงานในเดือนต่อมา เมื่อผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินคำนวณภาษี ตามรายการค่าลดหย่อนที่แท้จริงในเดือนสุดท้ายที่ออกจากงาน ได้ผลลัพธ์เป็นเงินภาษีที่ต้องหักเดือนละ 803.33 บาท ภาษีที่หักไว้เกิน = (928.33 – 803.33) X 5 = 625 จึงต้องหักภาษีและนำส่งในเดือนสุดท้ายนั้น = 803.33 – 625 = 178.33 บาท (กรณีถูกหักภาษีในแต่ละเดือนไว้เกิน)
ข้อ 4 การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในเดือนอื่นนอกจากกรณีตามข้อ 2 และข้อ 3 ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังคงต้องคำนวณภาษีและหัก ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ตามที่กล่าวในข้อ 1
ข้อ 5 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
สั่ง ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ
อธิบดีกรมสรรพากร
แบบแจ้งรายการเพื่อการหักลดหย่อน (แบบ ล.ย.01) >>
———————————————————————–
ตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 96/2543
ตัวอย่างที่ 1
กรณีจ่ายเงินได้พึงประเมินเป็นรายเดือน เดือนละเท่า ๆ กันตลอดปีภาษี ตามข้อ 1 (1) (2) (3)
ปีภาษี 2542 นาย ก. ได้รับเงินเดือน ๆ ละ 30,000 บาท นาย ก. ได้แจ้งสถานะการหักลดหย่อนไว้ดังนี้
ภรรยาไม่มีเงินได้ และบุตรกำลังศึกษา 2 คน
ต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตในเดือนกรกฎาคม 2542 จำนวน 9,600 บาท และ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมฯ ที่จะต้องจ่ายทั้งปี จำนวน 13,200 บาท
ผู้จ่ายเงินได้ ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแต่ละเดือน ดังนี้
วิธีคำนวณ
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 x 12 = 360,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 300,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนบุตรศึกษา 2 คน 34,000.- บาท
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต 9,600.- บาท
ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมฯ 10,000.- บาท = 113,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 186,400.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปี ((100,000 – 50,000) X 5%) + (86,400 X10%) = 11,140.- บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน 11,140 หาร 12 = 928.33 บาท
เหลือเศษ = 0.003 บาท
จำนวนเงินที่เหลือเศษให้รวมกับเงินภาษี
ที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม = 928.33 + (0.003 x 12) = 928.37 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นาย ก. ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนธันวาคม = 928.37 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 2
กรณีมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินได้พึงประเมินที่จ่ายระหว่างปีภาษี ตามข้อ 1 (4) และการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย เดือนธันวาคมตามข้อ 2
จากตัวอย่างที่ 1 ถ้านาย ก. ได้รับเงินเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 เป็นเดือนละ 60,000 บาท ผู้จ่ายเงินได้ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
วิธีคำนวณ
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 60,000 x 12 = 720,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 660,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 34,000 + 9,600 + 10,000 = 113,600.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 546,400.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปี ((100,000 – 50,000) X 5%) + (400,000 X10%) + (46,400 X 20%)
= 51,780.- บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป 51,780 หาร 12 = 4,315.- บาท
สำหรับในเดือนธันวาคม ให้ปรับปรุงการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้ :
ภาษีที่ต้องเสียทั้งปีจากเงินได้ที่ได้รับจริง (คำนวณจากเงินเดือน ๆ ละ 30,000 บาท 9 เดือน
และเดือนละ 60,000 บาท 3 เดือน) = 20,140.- บาท
ภาษีเงินได้ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งไว้แล้ว (ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน)
= (928.33 X 9) + (4,315 X 2) = 16,984.97 บาท
เป็นภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ในเดือนธันวาคม = 20,140 – 16,984.97 = 3,155.03 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นาย ก. ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง กันยายน เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 4,315.- บาท
เดือนธันวาคม = 3,155.03 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 3
กรณีมีการจ่ายเงินพิเศษเป็นครั้งคราวในระหว่างปีภาษี ตามข้อ 1 (5)
จากตัวอย่างที่ 1 ถ้าในเดือนมีนาคม 2542 นาย ก. ได้รับเงินโบนัสอีก จำนวนหนึ่งเป็นเงิน 90,000 บาท ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เดือนมีนาคม 2542 ดังนี้
วิธีคำนวณ
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 x 12 = 360,000.- บาท
บวก เงินโบนัส = 90,000 X 1 = 90,000.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 450,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 390,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 34,000 + 9,600 + 10,000 = 113,600.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 276,400.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปีของเงินเดือนรวมเงินโบนัส
((100,000 – 50,000) X 5%) + (176,400 X10%) = 20,140.- บาท
หัก ภาษีเงินได้ทั้งปีเฉพาะเงินเดือน (ตามตัวอย่าง 1) = 11,140.- บาท
คงเหลือภาษีเงินได้ของโบนัส = 9,000.- บาท
บวก ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินเดือนของเดือนมีนาคม (ตามตัวอย่าง 1) = 928.33 บาท
รวม ภาษีต้องหัก ณ ที่จ่าย เดือนมีนาคม = 9,928.33 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นาย ก. ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนมีนาคม = 9,928.33 บาท
เดือนเมษายน ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนธันวาคม = 928.37 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 4
กรณีจำนวนคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินไม่สม่ำเสมอตลอดปีภาษี ตามข้อ 1(6)
จากตัวอย่างที่ 1 นาย ก. ได้รับเงินเดือนและได้รับเงินค่าล่วงเวลาตาม จำนวนวันที่ทำงาน
เดือนมกราคมได้รับค่าล่วงเวลา 6,500 บาท
เดือนกุมภาพันธ์ได้รับค่าล่วงเวลา 5,200 บาท
ผู้จ่ายเงินได้ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายดังนี้
วิธีคำนวณ
มกราคม
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 x 12 = 360,000.- บาท
บวก ค่าล่วงเวลาเดือนมกราคม = 6,500.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 366,500.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 306,500.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 34,000 + 9,600 + 10,000 = 113,600.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 192,900.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปีของเงินเดือนรวมค่าล่วงเวลา ((100,000 – 50,000) X 5%) + (92,900 X10%)
= 11,790.- บาท
หัก ภาษีเงินได้ทั้งปีเฉพาะเงินเดือน (ตามตัวอย่าง 1) = 11,140.- บาท
คงเหลือภาษีเงินได้ของค่าล่วงเวลาเดือนมกราคม = 650.- บาท
บวก ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินเดือนของเดือนมกราคม = 928.33 บาท
รวมภาษีต้องหัก ณ ที่จ่ายเดือนมกราคม (650 + 928.33) = 1,578.33 บาท
กุมภาพันธ์
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 x 12 = 360,000.- บาท
บวก ค่าล่วงเวลาเดือนมกราคม = 6,500.- บาท
บวก ค่าล่วงเวลาเดือนกุมภาพันธ์ = 5,200.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 371,700.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 311,700.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 34,000 + 9,600 + 10,000)= 113,600.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 198,100.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปีของเงินเดือนรวมค่าล่วงเวลา ((100,000 – 50,000) X 5%) + (98,100 X10%)
= 12,310.- บาท
หัก ภาษีเงินได้ทั้งปีเฉพาะเงินเดือน (ตามตัวอย่าง 1) = 11,140.- บาท
ภาษีเงินได้ของค่าล่วงเวลา = 1,170.- บาท
หัก ภาษีเงินได้ค่าล่วงเวลาเดือนมกราคม = 650.- บาท
คงเหลือภาษีเงินได้ค่าล่วงเวลาเดือนกุมภาพันธ์ = 520.- บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ = 928.33 บาท
รวมภาษีต้องหัก ณ ที่จ่ายเดือนกุมภาพันธ์ (520 + 928.33) = 1,448.33 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นาย ก. ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม = 1,578.33 บาท
เดือนกุมภาพันธ์ = 1,448.33 บาท
เดือนมีนาคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนธันวาคม = 928.37 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 5
กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีเงินได้แทนให้ลูกจ้าง สำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปีภาษี โดยลูกจ้างไม่ต้องรับภาระในการเสียภาษีเงินได้ด้วยตนเองเลย (ออกภาษีให้ตลอดไป) ตามข้อ 1 (7) นายลิขิตมีเงินเดือน ๆ ละ 25,000 บาท มีภรรยาชอบด้วยกฎหมาย และบุตร กำลังศึกษา 1 คน บริษัทออกเงินภาษีให้ตลอดไป ผู้จ่ายเงินได้ ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
วิธีคำนวณ
ครั้งที่ 1
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 240,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนบุตรศึกษา 1 คน 17,000.- บาท = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 186,400.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 1 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (63,000 X10%) = 8,800.- บาท
ครั้งที่ 2
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 1 = 8,800.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 308,800.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 248,800.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 171,800.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 2 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (71,800 X10%) = 9,680.- บาท
ครั้งที่ 3
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 2 = 9,680.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 309,680.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,680.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,680.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 3 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,680 X10%)= 9,768.- บาท
ครั้งที่ 4
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวกภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 3 = 9,768.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 309,768.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,768.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,768.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 4 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,768 X10%)= 9,776.80 บาท
ครั้งที่ 5
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 4 = 9,776.80 บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 309,776.80 บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท<
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,776.80 บาท<
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,776.80 บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 5 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,776.80 X10%) = 9,777.68 บาท
ครั้งที่ 6
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 5 = 9,777.68 บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน= 309,777.68 บาท<
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท<
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,777.68 บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,777.68 บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 6 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,777.68 X 10%) = 9,777.77 บาท
ครั้งที่ 7
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 6 = 9,777.77 บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 309,777.77 บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,777.77 บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,777.77 บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 7 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,777.77 X 10%) = 9,777.78 บาท
ครั้งที่ 8
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 7 = 9,777.78 บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 309,777.78 บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 249,777.78 บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 172,777.78 บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 8 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (72,777.78 X 10%) = 9,777.78 บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน 9,777.78 หาร 12 = 814.81 บาท
เหลือเศษ = .005 บาท
จำนวนเงินเหลือเศษให้รวมกับเงินภาษี
ที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม = 814.81 + (0.005 X 12 ) = 814.87 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นายลิขิต ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 814.81 บาท
เดือนธันวาคม = 814.87 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 6
กรณีนายจ้างออกเงินค่าภาษีเงินได้แทนให้ลูกจ้าง สำหรับเงินเดือนหรือค่าจ้างเป็นจำนวนที่ แน่นอน (ออกภาษีให้ครั้งเดียว) ตามข้อ 1 (8) เช่น เท่ากับจำนวนภาษีเงินได้ที่จะต้องชำระ
จากตัวอย่างที่ 5 นายจ้างออกเงินค่าภาษีให้ครั้งเดียวเป็นจำนวนที่แน่นอน ผู้จ่ายเงินได้ ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
วิธีคำนวณ
ครั้งที่ 1
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 240,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 163,000.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 1 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (63,000 X10%) = 8,800.- บาท
ครั้งที่ 2
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 25,000 x 12 = 300,000.- บาท
บวก ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 1 = 8,800.- บาท
รวมเงินได้พึงประเมิน = 308,800.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 248,800.- บาท
หัก ค่าลดหย่อน (30,000 + 30,000 + 17,000) = 77,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 171,800.- บาท
ภาษีที่คำนวณได้ครั้งที่ 2 ((100,000 – 50,000) X 5%) + (71,800 X10%) = 9,680.- บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน 9,680 หาร 12 = 806.66 บาท
เหลือเศษ = .006 บาท
จำนวนเงินเหลือเศษให้รวมกับเงินภาษี
ที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม = 806.66 + (0.006 X 12 ) = 806.74 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นายลิขิต ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 806.66 บาท
เดือนธันวาคม = 806.74 บาท
———————————————
ตัวอย่างที่ 7
การคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานการหักค่าลดหย่อนที่แท้จริงที่ผู้มีเงินได้นำมาแสดง กรณีผู้มีเงินได้ออกจากงานในระหว่างปีภาษี ตามข้อ 3
จากตัวอย่างที่ 1 นาย ก. ได้ลาออกจากงานวันที่ 30 มิถุนายน 2542 และไม่สามารถนำหลักฐานการจ่ายเบี้ยประกันชีวิตจำนวน 9,600 บาท ที่แจ้งรายการขอหักลดหย่อนไว้ต่อผู้จ่ายเงินได้มาแสดงได้ แต่ได้นำใบเสร็จรับเงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จ่ายในแต่ละเดือนมาแสดงจำนวน 12,000 บาท ผู้จ่ายเงินได้ต้อง คำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเดือนมิถุนายน 2542 ดังนี้
วิธีคำนวณ
เงินเดือนเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี = 30,000 x 12 = 360,000.- บาท
หัก ค่าใช้จ่าย (40 % ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000.- บาท
คงเหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย = 300,000.- บาท
หัก ค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส 30,000.- บาท
ค่าลดหย่อนบุตรศึกษา 2 คน 34,000.- บาท
ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมฯ 10,000.- บาท = 104,000.- บาท
คงเหลือเงินได้สุทธิ = 196,000.- บาท
ภาษีเงินได้ทั้งปี ((100,000 – 50,000) X 5%) + (96,000 X10%) = 12,100.- บาท
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน 12,100 หาร 12 = 1,008.33 บาท
ภาษีที่นำส่งไว้ขาดแต่ละเดือน (1,008.33 – 928.33) = 80.- บาท
จำนวนเดือนที่ส่งไว้ขาด คือ 5 เดือน (มกราคม – พฤษภาคม)
ภาษีที่ต้องนำส่งเดือนมิถุนายน 1,008.33 + (80.00 X 5) = 1,408.33 บาท
สรุป ผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของ นาย ก. ในกรณีนี้ ดังนี้
เดือนมกราคม ถึง พฤศจิกายน เดือนละ = 928.33 บาท
เดือนธันวาคม = 928.37 บาท
ที่มา..คำสั่ง ป.96/2543